เจ้าของรีสอร์ท แจงไม่ได้ฮุบถนนสาธารณะ ได้มาโดยชอบถูกต้อง ตามกฏหมาย
จากกรณีที่ มีบุคคลท่านหนึ่งได้โพสต์ทางเฟซบุ๊คในเพจสิชลบ้านเรา และกลุ่มประเทศคอน ว่า "มีนายทุนบุกรุกที่ดินหลวง หน่วยงานไหนรับผิดชอบที่ดินตรงนี้ " โดยข้อความในรูป ระบุว่า "ขออภัยในความไม่สะดวกที่ส่วนบุคคลใช้สำหรับบริการลูกค้าของโรงแรมเท่านั้น ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอก นำอาหารเเละเข้ามารับประทาน และใช้สถานที่ดังกล่าวขอบคุณค่ะ"ลงชื่อประสานสุขวิลล่าบีชรีสอร์ท ซึ่งเป็น รีสอร์ทตั้งอยู่ในพื้นที่หาดหินงาม ตำบลสิชลอำเภอสิชลจังหวัดนครศรีธรรมราช จนมีสมาชิกใน เฟซบุ๊คทั้งในพื้นที่อำเภอสิชลและ ภายในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น และมีการแชร์กันเป็นจำนวนหลายร้อยแชร์เป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป โดยมีผู้ที่มาร่วมคอมเม้นต่างๆนาๆ ส่วนมากจะมีคำถามว่า ตรงบริเวณนี้เป็นถนนสาธารณะตัดผ่าน ที่มีการใช้ถนนเป็นระยะเวลานาน ซึ่งผู้สื่อข่าวเองบ้านอยู่ที่อำเภอสิชลก็เคยใช้เส้นทางถนนเส้นนี้มาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งปัจจุบัน ถนนเส้นนี้ได้ปิดลงกลายเป็นที่ส่วนบุคคล
ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ประสานสุขวิลล่าบีชรีสอร์ท เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เรื่องที่ รีสอร์ท ปิดถนนที่ชาวบ้านเคยใช้มาร่วมกันมายาวนาน โดยได้พบกับนายวิศวะ พงศ์สุธรรม ซึ่งเป็นเจ้าของ ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จึงได้มีการสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกี่ยวเรื่องราวเกี่ยวกับการปิดถนนเส้นนี้และกลายมาเป็นที่ส่วนบุคคล โดยนาย วิศวะเล่าให้ฟังว่า คุณแม่ของตนได้ซื้อที่ดินแปลงนี้ ตั้งแต่สมัยปี 2497 ประมาณ 65 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 70ไร่ ปัจจุบันเป็นที่ดินเอกสารสิทธิ์ นส.3ก. พื้นที่ก่อสร้างรีสอร์ทริมทะเลประมาณ 20ไร่ ส่วนที่เหลือยังปล่อยให้เป็นพื้นที่การเกษตรปลูกยางพารา โดยระบุมีพื้นที่ตั้งแต่ภูเขาจรดริมทะเล ไม่เคยระบุในเอกสารที่ดินว่ามีถนนสาธารณะริมทะเล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และบริเวณริมทะเลของชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่เคยมีระบุถนนสาธารณะติดทะเลเลยแม้แต่สักรายเดียว และพื้นที่ติดต่อกับของตนตรงบริเวณที่สิ้นสุดของถนนเทศบาลตำบลสิชลตรงนั้นเป็นที่ดินราชพัสดุจำนวน5ไร่ และตนได้ทำสัญญาขอใช้พื้นที่แล้ว นายวิศวะเล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากซื้อที่ดินแปลงนี้มาแล้วต่อมาในปี 2513 คุณแม่ของตนได้สร้างบ้านพักหลังเล็กๆเพื่อให้ มีคนมาเช่า มาพัก จำนวนหลายหลัง พร้อมกับได้ทำถนนและปักเสาพาดสายไฟฟ้าเข้ามาในพื้นที่ของตัวเองเพื่อความสะดวก ต่อมาเมื่อปี 2524 กรมประมงได้มาจัดซื้อที่ดินด้านใน เพื่อก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้ขอบริจาคที่ดินจากชาวบ้านเพื่อทำถนนสาธารณะ ตนเองจึงได้บริจาคที่ดินให้ถนนสาธารณะตัดผ่านที่ดินของตนเอง ซึ่งเป็นถนนด้านหลังที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ ในขณะนั้นได้มีการปักเสาไฟฟ้าแรงสูงตลอดแนวถนน แต่ไม่มีงบประมาณในการก่อสร้างถนน ทางกรมประมงจึงได้ทำหนังสือถึงเจ้าของรีสอร์ทเพื่อขอใช้พื้นที่ทำถนนชั่วคราวริมหาดทะเลผ่านที่ดินชาวบ้านหลายรายจนถึงสำนักงาน หลังจากทำถนนเสร็จประชาชนทั่วไปจึงได้ประโยชน์ในการใช้ถนนไปพร้อมๆกันด้วย ต่อมาถนนสาธารณะด้านหลังที่ตนและชาวบ้านได้มอบให้ได้ทำการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ทางกรมประมงจึงได้ทำหนังสือยกเลิก การใช้ถนนริมทะเลเมื่อปี 2540 รวมระยะเวลาที่กรมประมงใช้ถนนสายริมทะเลนี้ยาวนานถึง 16ปี อาจทำให้ประชาชนคิดว่าหรือเข้าใจว่าถนนสายนี้เป็นถนนสาธารณะอย่างแน่นอน เมื่อทางกรมประมงได้แจ้งยกเลิกไปแล้ว ตนยังไม่ปิดถนนสายนี้ จนกระทั่งปี 2542 เกิด คลื่นยักซัดถนนพังได้รับความเสียหาย ตนจึงมีการปรับปรุงพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวและประกาศเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนโดยทั่วไปคิดว่าตนได้ปิดกั้นถนนสาธารณะ ซึ่งจริงๆแล้ว ถนนเส้นนี้ไม่ได้เป็นถนนสาธารณะตั้งแต่เริ่ม หลังจากที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลแล้วก็ได้มีการร้องเรียนกันหลายครั้ง แต่ละครั้งมีการสรุปของหน่วยงานที่รับผิดชอบและที่ว่าการอำเภอสิชลถึง 2 ครั้งว่าถนนสายนี้ไม่ได้เป็นที่สาธารณะ แต่ครั้งหลังสุดยังมีการร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราชอีกด้วย ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชในขณะนั้นได้ลงความเห็นว่า ถนนสายนี้ไม่ได้เป็นที่สาธารณะจนเป็นเหตุนำคดีฟ้องศาลปกครอง และที่สุดศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาตัดสินว่าถนนสายนี้ไม่ได้เป็นที่สาธารณะเช่นกัน ใช้เวลาในกระบวนการชั้นศาลกว่า 9ปีสรุปไม่ได้เป็นพื้นที่สาธารณะ ส่วนประเด็นที่ประชาชนสงสัย ดูได้จากเว็ปไซต์คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้ เพราะเป็นข้อมูลสาธารณะอยู่แล้ว ต่อมาผมผู้โพสในเฟสบุ๊คได้ลงโพสขอโทษทางรีสอร์ทแล้ว
นายวิศวะ พงศ์สุธรรม ยังกล่าวฝากทิ้งท้ายว่าการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อการสาธารณะถือว่าเป็นเรื่องดีช่วยสอดส่องดูแลผู้กระทำความผิดและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ แต่การแสดงความคิดเห็นควรจะแสดงความคิดเห็นบนพื้นฐานโดยสุจริตไม่ใช่ไปกล่าวหาก่อนแล้ว การแสดงความคิดเห็นที่ทำให้บุคคลอื่นเสียหายอาจจะเข้าข่ายมีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือมีความผิดฐานพรบ.คอมพิวเตอร์ได้ นายวิศวะ กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ/ข่าว สายัณห์ ศรีใหม่ นครศรีธรรมราช 093-635-0529




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น